อะโวคาโด…พืชเศรษฐกิจนอกสายตา ตลาดต้องการสูง ราคาแพง 50-60 บาท/กก.

Sorry, this entry is only available in Thai. For the sake of viewer convenience, the content is shown below in the alternative language. You may click the link to switch the active language.

“อะโวคาโด” เป็นไม้ผลที่มีคุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายสูงมาก แต่เรื่องราวของอะโวคาโดกลับมีการเผยแพร่ผ่านสื่อไม่มากนัก ด้วยความเข้าใจที่ว่าอะโวคาโดเป็นไม้เมืองหนาวที่ต้องการความหนาวเย็นในการเจริญเติบโต เนื่องจากมีการนำเข้าพันธุ์มาทดลองปลูกและส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นหลัก จึงทำให้การขยายพื้นที่ปลูกอะโวคาโดจำกัดอยู่เฉพาะในพื้นที่เขตภาคเหนือเป็นหลัก ประกอบกับการนำเสนอผ่านสื่อค่อนข้างน้อยจึงทำให้อะโวคาโดได้รับความสนใจน้อยกว่าพืชอื่นๆ จนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจนอกสายตาที่คนให้ความสนใจกันไม่มาก ทั้งที่อะโวคาโดเป็นไม้ผลที่มีสรรพคุณมากมายต่อร่างกายและจัดว่าเป็นพืชเพื่อสุขภาพที่เปี่ยมไปด้วยประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก อะโวคาโดเพิ่งจะได้รับความสนใจในการบริโภคและคนรักสุขภาพทั้งหลายเริ่มมองเห็นคุณค่าเมื่อไม่นานมานี้เอง จึงทำให้อะโวคาโดกลายเป็นผลไม้ที่มีความต้องการของตลาดสูงขณะที่พื้นที่ปลูกอะโวคาโดยังน้อยจึงทำให้ผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค ใครที่มองเห็นคุณค่าของไม้ผลชนิดนี้และปลูกมาก่อนจึงได้เปรียบในวันที่ตลาดต้องการไม้ผลชนิดนี้ ชาวสวนปากช่อง ปลูกอะโวคาโดทำเงินเงียบๆมานานกว่า 10 ปี เฉกเช่นเดียวกับ คุณสำเริง กลั่นกลิ่น เกษตรกรชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมาที่สนใจอะโวคาโดมาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้วและได้นำต้นมาทดลองปลูกที่สวนซึ่งก็เจริญเติบโตและให้ผลผลิตที่ดี ประกอบหลายสิบปีก่อน ทางสถานีวิจัยพืชสวนปากช่องก็ได้มีการนำพันธุ์อะโวคาโดมาทดลองปลูกเพื่อศึกษาวิจัยและส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกอยู่พักหนึ่งแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจมากเพราะตอนนั้นตลาดอะโวคาโดยังไม่เติบโต จึงเงียบหายไป แต่คุณสำเริงซึ่งสนใจไม้ผลชนิดนี้ได้ไปนำพันธุ์อะโวคาโดจากสถานีวิจัยพืชสวนปากช่องและไปหาพันธุ์จากโครงการหลวงทางภาคเหนือมาทดลองอย่างต่อเนื่องจนทำให้มีต้นอะโวคาโดอยู่มากกว่า 500 ต้น ที่ปลูกแซมไว้ในสวนน้อยหน่าเพชรปากช่อง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นต้นอายุ 8-10 ปี และในแต่ละปีอะโวคาโด 500 ต้นทำเงินให้กับคุณสำเริงไม่น้อยเลยทีเดียว อะโวคาโด…ไม้ผลเพื่อสุขภาพมากสรรพคุณที่ต้องจับตา เมื่อก่อนคนไทยไม่นิยมบริโภคอะโวคาโดเพราะเรามีทางเลือกในการบริโภคผลไม้อื่นๆมากมาย ประกอบกับคนไทยนิยมบริโภคผลไม้ที่มีรสหวาน กลิ่นหอมนุ่มนวลขณะที่อะโวคาโดมีรสชาติมัน ความอร่อยจึงน้อยกว่าผลไม้ชนิดอื่นที่คนไทยคุ้นเคย แต่เมื่อนำมาวิเคราะห์คุณค่าทางอาหารและเปรียบเทียบกับผลไม้อื่นพบ ว่า อะโวคาโดมีคุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าผลไม้ชนิดอื่น จึงถือว่าเป็น “อาหารเพื่อสุขภาพ” เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และสารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ทำให้คนไทยหันมารับประทานกันมากขึ้น สำหรับประโยชน์ที่เด่นชัดนั้น ดังที่กล่าวไปมีไขมันที่อิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยให้ผิวของเรานั้นชุ่มชื่นมีน้ำมีนวล มีความจำเป็นสำหรับการบำรุงหัวใจเป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังช่วยให้ผิวมีสุขภาพแข็งแรงในการป้องกันแสงแดดช่วยในการสงเคราะห์ วิตามินดีจากแสงแดด มีสารอาหารที่สำคัญคือ กรดไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 สามารถที่จะกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและขยายหลอดเลือด มีส่วนในการบำรุงระบบประสาทและสมองให้ความจำดี โดยที่ไม่ต้องไปหาอาหารเสริมจากที่ไหน เรามาดูสรรพคุณที่มากล้นกันชัดๆของอะโวคาโดกันค่ะ สรรพคุณของอะโวคาโดบำรุงสมองและป้องกันโรคสมองเสื่อม มีการค้นคว้าว่าการบริโภคอะโวคาโดอย่างสม่ำเสมอนั้นจะช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม เพราะว่ามีกรดโอเลอิกสูงในอะโวคาโดช่วยรักษาเนื้อเยื้อซึ่งช่วยป้องกันระบบประสาทและสมอง จึงทำให้การทำงานของสมองมีความรวดเร็วและไม่เมื่อยล้าหากใช้สมองอย่างนัก – ช่วยในการเผาผลาญระบบของร่างกาย  เพราะในอะโวคาโดมีเอ็นไซม์ที่ช่วยในการทำงานระบบย่อยอาหาร จึงเหมาะสมในการลดน้ำหนัก และช่วยให้ร่างกายมีความสดชื่น สดใส มีผิวพรรณที่ดีอีกด้วย – อะโวคาโดนั้นมีโปรตีนที่สูง และมีกรดอะมิโนสำหรับร่างกายในการย่อยโปรตีนที่ดีขึ้น และช่วยให้ตับอ่อนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยต่อต้านเซลล์มะเร็งต่างๆ มีวิตามินอี ที่ต้อต้านอนุมูลอิสระทำให้ป้องกันเซลล์มะเร็งที่จะเกิดนั้นมีโอกาสเป็นน้อยลงได้ – ช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ เพราะว่ามีสารที่สำคัญในการช่วยป้องกันและควบคุมการเต้นของหัวใจได้ดี ทำให้มีการไหลเวียนโลหิตที่ดี มีกรดโอเลอิกที่มีมากในผลอะโวคาโด – ป้องกันมะเร็งต้านม มีการศึกษาอีกเช่นเดียวกันว่ามี ลูทีน วิตามินอี และมีไขมันอิ่มตัวเชิงเดียวสูงในผลอะโวคาโด จึงช่วยให้ลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะหญิงที่ผ่านการมีครรภ์มาแล้ว – ผลอะโวคาโด อุดมไปด้วยวิตามิน E และมีแอนตี้ออกซิเดนท์ที่ ช่วยบำรุงผิวพรรณและความงามของผู้หญิง นอกจากนั้นยังมี วิตามิน B1 , B2 , B6 , ไนอาซีน , โพแทสเซียม , กรดโฟลิก , ฟอสฟอรัส ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและบำรุงผิวให้เต่งตึง สดใส ไร้รอยเหี่ยวย่น อะโวคาโดทานยังไงให้อร่อย อะโวคาโดสามารถทานและทำอาหารได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เป็นผลไม้ในสลัด , น้ำสลัดอะโวคาโด แยม ใช้รับประทานแทนพวกแตงไทย หรือว่าฟักทองทานกับน้ำกะทิ ทานกับไอศกรีม หรือเป็นส่วนผสมของไอศกรีมอะโวคาโด หรือจะทานง่ายๆโดยโรยน้ำตาล น้ำผึ้งแล้วตักทานได้เลยก็อร่อยแล้ว ซึ่งตอนนี้นิยมทานแบบนี้ที่สุดค่ะ ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด คุณสำเริงบอกว่า อะโวคาโดเป็นพืชที่มีอนาคตทางการตลาดที่สุดใสมาก เพราะตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาคุณสำเริงทำเงินจากอะโวคาโดได้มาก เพราะต้นหนึ่งจะให้ผลผลิตประมาณ 300-500 กก. ในสวนมีต้นอะโวคาโดประมาณ 500 ต้น ผลผลิตในแต่ละปีก็น่าจะประมาณ 100-200 ตันทุกปีจะมีแม่ค้าเข้ามาติดต่อซื้อผลผลิตที่สวนเพิ่มขึ้นทุกปี จนทำให้คุณสำเริงตัดสินใจปลูกอะโวคาโดขยายพื้นที่เพิ่มอีก 40-50 ไร่ ในปีนี้ และมั่นใจว่า อะโวคาโดจะมีอนาคตทางการตลาดที่ดี โดยราคาขายในปัจจุบันอยู่ที่ 25-30 บาท/กก. ราคานี้เป็นราคาหน้าสวนที่แม่ค้ามาเก็บผลผลิตเองเลย ราคาขายปลีกก็ 50-60 บาท/กก.ค่ะ ปลูกและดูแลง่ายมาก คุณสำเริงบอกว่าอะโวคาโดเป็นพืชที่ปลูกง่ายมากซึ่งที่ผ่านมาคุณสำเริงแทบไม่ได้ดูแล โดยอะโวคาโดจะปลูกแซมในสวนน้อยหน่าเพชรปากช่อง คุณสำเริงบอกว่าถ้าพันธุ์ที่ต้นเล็ก ทรงพุ่มเล็กจะปลูกโดยใช้ระยะปลูก 6 เมตร พันธุ์ที่ต้นใหญ่จะใช้ระยะปลูก 8 เมตร หลังปลูกก็ให้ปุ๋ยบ้าง 1-2 เดือนครั้ง อะโวคาโดเป็นพืชที่ต้องการน้ำสม่ำเสมอ หลังปลูก 3 ปีอะโวคาโดก็ให้ผลผลิตเก็บเกี่ยวได้แล้ว และจะให้ผลผลิตมากขึ้น เมื่ออายุ 5-6 ปี โดยผลผลิตต้นหนึ่งประมาณ 400-500 กก. โดยจะให้ผลผลิตประปรายตลอดทั้งปี แต่จะดกมากๆในช่วงเดือน พ.ค.-ก.ย. ปลูกอะโวคาโดพันธุ์ไหนดี อะโวคาโดถูกนำมาปลูกโดยโครงการหลวงซึ่งนำอะโวคาโดมาทดลองปลูกที่พื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงทุ่งเริงเมื่อประมาณปี พ.ศ.2526 ปรากฏว่าผลผลิตที่ได้มีคุณภาพดี จึงนำมาส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเป็นพืชสร้างรายได้ในพื้นที่เขตภาคเหนือเป็นหลักเนื่องจากอะโวคาโดเติบโตได้ดีในพื้นที่ภาคเหนือที่มีอากาศหนาวเย็น โดยพันธุ์อะโวคาโดที่นำมาปลูกและให้ผลผลิตดีและได้รับความนิยมมีหลายสายพันธุ์ ได้แก่ 1.พันธุ์ปีเตอร์สัน (Peterson) เป็นเผ่าเวสต์อินเดียน ลักษณะผลค่อนข้างกลม มีขนาดเล็กถึงขนาดกลาง น้ำหนัก 200-300 กรัม เนื้อผลสีเหลืองอมเขียว รสดีเมล็ดใหญ่อยู่ในช่องเมล็ดแน่น เป็นพันธุ์เบา เก็บเกี่ยวผลได้ในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม พันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่นิยมที่สุดและมีคุณสมบัติที่ดีค่ะ 2.พันธุ์บูธ 7 (Booth-7) เป็นลูกผสมระหว่างเผ่ากัวเตมาลัน และเวสต์อินเดียนผลลักษณะค่อนข้างกลม ขนาดกลาง น้ำหนัก 300-500 กรัม ผิวผลขรุขระเล็กน้อยสีเขียว เปลือกหนา เนื้อสีเหลืองอ่อน รสดี เมล็ดขนาดกลาง มีไขมัน 7-14เปอร์เซ็นต์ ช่วงเก็บเกี่ยวผลประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม 3.พันธุ์บูธ 8 (Booth-8) ลักษณะผลรูปไข่ ขนาดเล็กถึงกลาง น้ำหนักประมาณ 270-400 กรัม ผิวผลขรุขระเล็กน้อย สีเขียว เปลือกหนา เนื้อสีครีมอ่อนรสชาติพอใช้ มีไขมัน 6-12 เปอร์เซ็นต์ เมล็ดมีขนาดกลางถึงใหญ่อยู่ในช่องเมล็ดแน่น ฤดูเก็บเกี่ยวประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม 4.พันธุ์แฮสส์ (Hass) เป็นพันธุ์การค้าอันดับ 1 ของโลก เป็นพันธุ์เผ่ากัวเตมาลัน ลักษณะผลรูปไข่ ผิวผลขรุขระมาก ผิวสีเขียว เมื่อสุกอาจเป็นสีเขียวเข้มหรือม่วงเข้ม ผลมีขนาดเล็ก น้ำหนัก 200-300 กรัม เนื้อผลสีเหลือง มีไขมันประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ เมล็ดมีขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เก็บเกี่ยวผลได้ในเดือนพฤศจิกายนแต่พันธุ์แฮสส์ มีปัญหาหากความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เพียงพอจะทำให้ผลผลิตไม่ค่อยดี   คุณ : สำเริง กลั่นกลิ่น  มือถือ : 080-7268716  อีเมล์ : taksamon_01@hotmail.com ขอบคุณข้อมูล : http://www.vigotech.co.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=539825125&Ntype=8
[fbcomments url="http://54.254.250.208/en/knowledge/%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%82%e0%b8%a7%e0%b8%84%e0%b8%b2%e0%b9%82%e0%b8%94/" width="375" count="off" num="3" title="Comments" countmsg="wonderful comments!"]

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save