“กล้วยหอมคาเวนดิช” พืชเศรษฐกิจตัวใหม่

Sorry, this entry is only available in Thai. For the sake of viewer convenience, the content is shown below in the alternative language. You may click the link to switch the active language.

“กล้วยหอมคาเวนดิช” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กล้วยหอมเขียว” ถือเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักนัก…ทั้งที่กล้วยที่ค้าขายในตลาดโลก 95% “บ้านเรายังปลูกกล้วยหอมคาเวนดิชกันน้อย เนื่องจากไม่นิยมบริโภค แต่ในตลาดโลกกลับตรงกันข้าม เพราะมีลักษณะเด่น เปลือกหนา ทำให้ขนส่งได้ง่ายไม่บอบช้ำ อีกทั้งรสชาติหวานน้อย ถูกปากผู้บริโภคทั่วโลก บางครั้งจะเห็นนักกีฬากินกล้วยชนิดนี้ก่อนแข่งขันหรือตอนพักแข่ง เพราะไม่ทำให้จุก และมีน้ำตาลซูโครส ฟรุกโตส และกลูโคส ที่ร่างกายนำไปใช้สร้างพลังงานได้ทันที กินกล้วย 1 ลูก จะให้พลังงานประมาณ 100 กิโลแคลอรี เท่ากับการเดินติดต่อกัน 1 ชั่วโมง” ดร.กอบลาภ อารีศรีสม คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ผู้ศึกษากล้วยหอมคาเวนดิชและส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก บอกถึงสรรพคุณที่ทำให้กล้วยหอมคาเวนดิชเป็นที่ติดอกติดใจผู้บริโภคทั่วโลก…จนทั้งรัฐและเอกชนต่างมองเห็นช่องทางส่งออกไปตลาดใหญ่อย่างจีน ที่มีความต้องการไม่อั้น ยิ่งช่วง 2-3 ปีหลัง จีนหมดสัญญาเช่าพื้นที่ปลูกในลาว และคนลาวเองก็เกรงกลัวสารเคมีที่จีนนำมาใช้ จึงเป็นโอกาสทองของไทย “จีนมีความต้องการกล้วยหอมพันธุ์นี้มาก ปีที่แล้วนำเข้ามูลค่าสูงถึงเกือบ 2 หมื่นล้านบาท เมื่อลาวไม่ทำในประเทศแล้ว จีนต้องนำเข้าจากเอกวาดอร์ ฟิลิปปินส์ ซึ่งมีค่าขนส่งสูงกว่าไทย ดังนั้นตลาดจึงเปิดกว้างสำหรับไทย เราเลยรวมกลุ่มส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกแล้วรับซื้อในราคาประกัน กก.ละ 6-12 บาท ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ความสวยและขนาดของลูกผล โดยมีกลุ่มบ้านช้างไทยแลนด์รับซื้อทั้งหมด” ปัจจุบันมีลูกไร่กว่า 5,000 ไร่ ผลผลิตรวมปีละ 500 ตัน กระจายอยู่ใน 30 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะนครราชสีมา มีมากที่สุด 400 ไร่ แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของจีน…เพราะแค่บริษัทกู๊ดฟาร์มเมอร์ในเซี่ยงไฮ้ คู่สัญญาของกลุ่มบ้านช้างไทยแลนด์ บริษัทเดียวต้องการปีละเกือบ 600,000 ตันเข้าไปแล้ว กล้วยคาเวนดิชปลูกได้ในทุกสภาพพื้นที่ ไม่ต่างจากกล้วยที่คนไทยคุ้นเคย ไม่ต้องดูแลรักษามาก ปีแรกให้ผลผลิตครั้งเดียว ไร่ละ 9,600 กก. มีต้นทุนค่าพันธุ์ 320 หน่อต่อไร่ ค่าแรงปลูก ค่าวางระบบน้ำและปุ๋ย ไร่ละ 30,000 บาท…ทำให้ปีแรกได้กำไรขั้นต่ำ ไร่ละ 27,600 บาท (คิด ณ ราคาประกันต่ำสุด กก.ละ 6 บาท) แต่ปีต่อไปจะให้ผลผลิตปีละ 3 ครั้ง ต้นทุนแทบไม่มี เพราะมีหน่อขึ้นมาอยู่แล้ว ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมักทำเอง ค่าแรงเก็บเกี่ยวไม่มี เพราะผู้รับซื้อจัดการหมด…สรุปแล้ว ตั้งแต่ปีที่ 2 เกษตรกรจะมีรายได้ขั้นต่ำไร่ละ 172,000 บาทต่อปี แต่ถ้าทำได้ดี ผลผลิตขายได้เฉลี่ย กก.ละ 10 บาท รายได้จะเพิ่มเป็นปีละ 288,000 ส่วนเรื่องที่กังวลกันว่าจะมีปัญหาสารพิษเหมือนที่เกิดขึ้นในลาว…ไม่ต้องห่วง เพราะผู้รับซื้อมีกฎกติกาไม่ให้ใช้สารเคมีในกระบวนการผลิตเด็ดขาด สนใจสอบถามได้ที่ 09–3289–8744 ที่มา: https://www.thairath.co.th/content/1055677
[fbcomments url="http://54.254.250.208/en/knowledge/%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%a2%e0%b8%ab%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b8%84%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b4%e0%b8%8a-%e0%b8%9e%e0%b8%b7%e0%b8%8a%e0%b9%80%e0%b8%a8/" width="375" count="off" num="3" title="Comments" countmsg="wonderful comments!"]

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save